SINNER - TWELVE
“..เทา”
เสียงหวานเรียกชื่อคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
ห้องสี่เหลี่ยมค่อนข้างใหญ่ตกอยู่ในความเงียบสงัด ความลังเลที่แล่นเข้ามาว่าเวลานี้คงไม่เหมาะในการพูดเรื่องนั้นแต่ถ้าเรื่องมันยังดำเนินต่อไปแบบนี้
ทุกอย่างก็คงไม่จบ
และแบคฮยอนก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น..
วังวนนี้..ควรจะจบลงสักที..
อย่างน้อย..เรื่องของเขากับเทา..ควรจะจบลงในสิ่งที่มันควรเป็น
หัวใจเต้นตึกตักจนเหมือนจะกระเด็นออกมาเมื่อเห็นคนบนเตียงขยับ
เปลือกตาคล้ำเปิดขึ้นช้าๆ กระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชิน
แขนยาวดันตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างค่อยๆเพราะความมึนหัวที่แล่นเข้ามา
และเมื่อเห็นแบบนั้นแบคฮยอนก็ถลามาช่วยพยุงอีกฝ่ายอีกที
แผ่นหลังกว้างขยับพิงพนักเตียงโดยมีหมอนรองไว้
ดวงตาเข้มเสมองใบหน้าสวยด้วยความแคลงใจ “มาเมื่อไร”
“เรามาเมื่อกี๊นี้เอง
ยังปวดหัวอยู่รึเปล่า” มือนุ่มวางลงบนหน้าผาก
อุณภูมิร่างกายที่ส่งผ่านมายังผิวเนื้อ
แม้จะไม่ร้อนมากแต่ก็ยังรู้สึกว่ามันยังรุมๆอยู่
“ทำไมไม่บอกเราล่ะว่าไม่สบาย
เราเป็นห่วงรู้มั้ย” อดเอ็ดอีกคนด้วยน้ำเสียงดุไม่ได้
แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มบางๆของคนบนเตียง แบคฮยอนขมวดคิ้วหลวมๆ
ผละมือออกจากหน้าผากอุ่นๆแต่ก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ให้แนบไปกับแก้มอีกฝ่าย
“เราดีใจนะที่แบคฮยอนเป็นห่วง”
“เทา..”
ครางชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบา
ร่างเล็กหลบสายตาคมที่มองมาราวกับกำลังพยายามมองลึกเข้ามา ก้อนเนื้อในกระตุกสั่น
ความกลัวที่จู่ๆก็กวาดเข้ามาในใจ แบคฮยอนรั้งมือตัวเองออกจากการเกาะกุมนั้น
ร่างเล็กยืดตัวขึ้น เขาไม่รู้ว่าไม่กี่วันที่เขาไม่ได้เจอจื่อเทา
ตัวของร่างสูงมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
เซ้นส์บางอย่างกำลังบอกแบคฮยอนว่า
จื่อเทาไม่ได้เปลี่ยนไป
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ายังเหมือนเดิม..
ครืด… ครืด..,
นึกขอบคุณโทรศัพท์ที่สั่นครูดอยู่ในกระเป๋า
มือเรียวควานหาก่อนจะหยิบมันขึ้นมา รอยยิ้มเล็กๆปรากฏขึ้นมุมปาก
ข้อความใหม่ถูกส่งเข้ามาซึ่งไม่ได้รู้สึกดีใจเท่ากับรายชื่อของคนส่ง
และท่าทางแบบนั้นแบคฮยอนคงไม่รู้ว่าได้อยู่ในสายตาของร่างสูงหมดแล้ว
“ใครโทรมาหรอ..” ถามทั้งๆที่สายตามองลงพื้น
แบคฮยอนหุบยิ้มก่อนจะเก็บโทรศัพท์แต่คงไม่ทันมือแกร่งที่คว้าต้นแขนเล็กไว้แล้วดึงเข้าหาตัว
“ทะ..เทา”
เสียงตะกุกตะกักเพราะความกลัว
มือข้างที่ถูกจับกำโทรศัพท์แน่น
ตาเรียวหวานเบิกกว้างเมื่อถูกผลักลงจนแผ่นหลังกระแทกกับเตียงดังตุบ
โทรศัพท์มือถือถูกหยิบจากมือเล็กแล้ววางไว้ด้านข้าง
ข้อมือสองข้างถูกกดลงกับผืนเตียงนุ่มเหนือศีรษะด้วยฝ่ามือแกร่งเพียงข้างเดียว
“เรารักแบคนะ.. รักแบคฮยอน”
“จื..จื่อเทา..” เสียงหวานสั่นเทา เมื่อปลายนิ้วร้อนสัมผัสลงกับผิวเนื้อนุ่ม ไล้วนบนหน้าท้องแบนราบที่หดเกร็ง
ชายเสื้อนักเรียนถูกเลิกขึ้นขณะที่ริมฝีปากอุ่นทาบลงมา
กดเม้มบนเรียวปากอิ่มแดงที่เม้มแน่นราวกับกักกั้นศัตรูด้วยกำแพงสูง
แต่กำแพงสูงอย่างเดียวคงไม่พอ
หากน้ำหนักของมันไม่คงที่พอ
อิ่มปากเผยอขึ้นเมื่อถูกสะกิดลงที่ยอดอกใต้เสื้อนักเรียนสีขาว ปลายลิ้นไล่กวาดต้อน
ของเหลวสีใสไหลทางมุมปาก แบคฮยอนกำมือทั้งสองข้างตัวเองแน่น
มันเกร็งสั่นเพราะอาการต่อต้านจากฝ่ามือแกร่งที่กำลังกดมันลงกับผืนเตียง
“อะ..อื้อ..”
แผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลง
แบคฮยอนกำลังถูกชักจูงด้วยการปรนเปรอที่วาบหวามแต่กลับเอาแต่ใจ
“ไม่..เทา..”
เสียงหวานแห่บพร่า ร่างเล็กรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไร
ซึ่งนั้นคือสิ่งที่เขาไม่อยากให้มันเกิดขึ้น
กางเกงนักเรียนถูกร่นลงเผยให้เห็นสะโพกขาว แก้มใสแดงระเรื่อ
ร่างสูงโปร่งแทรกเข้ามาตรงระหว่างขา
ทาบสัมผัสร้อนลงมาจนกึ่งกลางของลำตัวแนบกัน
“จื่อเทา..เราไม่อยากทำ”
คำตอบที่ได้มาคือการปฏิเสธ
เมื่ออีกฝ่ายใช้เข่ายันขาและผละร่างตัวเองออกจากคนใต้ร่าง
ไล่สายตาเรียบนิ่งมองเรือนร่างสวยที่หวังจะครอบครองมาตลอด และได้ครอบครองอย่างสมใจ
ทว่า..สิ่งที่อยากครอบครอบนั้นไม่ใช่แค่ร่างกาย
“อึก..อ..ฮื่อ!” กัดริมฝีปากแน่น เมื่อมือแกร่งหายเข้าไปใต้กางเกงตรงระหว่างแต่สิ่งที่อีกฝ่ายทำนั้นไม่ใช่การปรนเปรอส่วนนั้นของเขา
แต่กลับเลื่อนมือลงไปด้านล่าง นิ้วกลางสอดเข้าไปในรอยแยกของก้อนเนื้อนิ่ม
กระแทกเข้าไปให้คนใต้ร่างสะดุ้ง
“เทา..เราขอร้อง..อย่าทำ ฮึก..อื้อ”
เม้มปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงเมื่อรู้สึกกระสันตอนปลายนิ้วนั้นขยับ
“ฮ..อะ..อื้อ”
น้ำตาไหลพรากกับความรู้สึกบ้าๆที่เกิดขึ้นมาและอัดแน่นจนท่วมท้นไปทั้งตัว
ข้อมือที่ถูกตรึงไว้สะบัดหลุดออกจากการเกาะกุม
ฝ่ามือบางพยายามดันไหล่กว้างแต่ปลายนิ้วที่ขยับเข้าออกในร่างกายเขากลับบั่นทอนกำลังไปมากกว่าครึ่ง
ความสนใจที่จะพยายามออกจากบทรักที่กำลังจะเกิดขึ้นทำให้แบคฮยอนไม่ได้สังเกต
โทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดอย่างต่อเนื่องบ่งบอกถึงปลายสายที่โทรเข้ามา
จื่อเทาเหลือบมองก่อนจะทำเป็นไม่สนใจแต่ความคิดของเขาก็ต้องเปลี่ยนเมื่อหน้าจอสว่างวาบปรากฏให้เห็นรายชื่อของคนที่โทรเข้ามา
‘ชานยอล’
ความเจ็บปวดที่เอ่อล้นเข้ามาทำให้รู้จักกับคำว่า ‘เห็นแก่ตัว’
ยิ่งเห็นคนตัวเล็กที่พยายามผลักไสเขาแล้วยิ่งรู้สึกเจ็บ
สะโพกกลมคลายความเกร็งเมื่อนิ้วเรียวผละออกไป
จื่อเทาเคลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ขณะที่แบคฮยอนกำลังหลับตาแน่น
และเขาใช้จังหวะนั้นกดปลายนิ้วลงบนปุ่มกดรับสาย
ก็เพราะไม่อยากเสียไป..ถึงต้องทำแบบนี้
“อึ..ก..อ้ะ..เทา”
ปลายจมูกโด่งสูดดมกลิ่นกายหอมจากผิวนุ่ม
ขบเม้มปากตามไหปลาร้า
แลบปลายลิ้นเลียตรงปานรูปดวงอาทิตย์บริเวณไหปลาร้าและกดจูบเบาๆ
“แบค..
เรารักแบคนะ”
“อะ..ฮึก”
“แบคเป็นของเรา.. แบครักเราใช่มั้ย”
มือบางขย้ำแขนเสื้ออีกฝ่ายแน่น “จื่อเทา..อ้ะ หยุด”
“เรารักแบคฮยอน”
“…ฮึก”
“แบค
สัญญากับเราได้มั้ยว่ารักกันตลอดไป”
“อะ..อ้ะ” ปลายเท้าจิกลงบนเตียงนอน
เสื้อผ้าของเขาหลุดลุ่ย ริมฝีปากอิ่มบวมแดง
สติค่อยๆเลือนหายไปเมื่อถูกชักจูงด้วยสัมผัสหวานรุ่มและเสียงทุ้มข้างหู
ขบกัดริมฝีปากล่างด้วยความเสียวซ่าน
“จะไม่ทิ้งกันไปไหน..ใช่มั้ย”
ใบหน้าหวานฉ่ำแดงไปด้วยหยาดเหงื่อ
ขาเรียวอ้ากว้างขึ้น คิ้วบางขมวดแน่น
อยาก..และต้องการ.. ให้อะไรบางอย่างแทรกเข้ามาในตัวเขาและขยับเข้าออก..
แบคฮยอนไม่ใช่คนดีอะไรที่ถูกปลุกเร้าด้วยสัมผัสหวิวแล้วกลับนิ่งเฉย
มันตรงกันข้าม
และก่อนที่ร่างเล็กจะถูกซาตานเข้าครอบงำ
ภาพบางอย่างที่ฉุดสติให้กลับคืนมาอีกครั้งด้วยใบหน้าเท่อมหวานของใครบางคนที่คุ้นเคย
“ไม่!”
รวมแรงกำลังทั้งหมดแล้วผลักคนด้านบนออกไปพร้อมๆกับโทรศัพท์ที่ถูกปัดออกไปจนไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น กายบางผุดลุกขึ้นออกจากเตียงนุ่ม
พลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยท่ามกลางสายตาเจ็บปวดที่แบคฮยอนไม่อาจได้เห็น
“เรายังรักกันอยู่รึเปล่า..แบค”
“…”
“ตอบสิ..เรายังรักกันอยู่มั้ย?”
มือที่กำลังจะก้มลงหยิบโทรศัพท์ชะงัก
ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจ
แบคฮยอนหยิบมันขึ้นมาพลางเดินออกไปแต่ก็แค่ไม่กี่ก้าวเมื่อเสียงทุ้มต่ำแผดร้องออกมา
“หรือแบคไม่เคยรักเราเลยอยู่แล้ว!”
มือบางกระชับโทรศัพท์ที่ถืออยู่ให้แน่น เรียวปากบางเม้มเข้าหากันพลางปล่อยให้น้ำตาแห่งความอ่อนแอไหลรินแก้มจนดูน่าสงสาร
ในใจของเขากำลังเจ็บปวดแต่คงไม่เท่าคนที่นั่งหมดแรงอยู่บนเตียงทั้งน้ำตา
“เรา..ฮึก..”
พูดสิ..แบคฮยอน..
“เรา..ห..”
นายมาที่นี่..เพื่อสิ่งนี้
“เราห่างกันสักพักเถอะ”
เขาบั่นทอนมีดให้คมน้อยลงด้วยการเปลี่ยนคำพูดจากคำว่า ‘เลิก’ เป็นคำว่า ‘ห่าง’ แทน
เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจใครด้วยคำพูดแสนบาดคมราวกับปลายมีด
ซึ่งความคิดแบบนั้นกลับทำให้มันดูแย่ลงเสียมากกว่า
การตัดไฟตั้งแต่ต้นลม..
คือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้
แต่ถึงแม้คำพูดเพียงแค่นั้น..ก็สามารถให้ทั้งโลกของเด็กหนุ่มคนเดียวมืดไปทั้งใบ
หลังจากเสียงประตูปิดลง ให้หลังกลายเป็นเสียงวิ่งตึงตังของบันไดก่อนจะเงียบหายไปพอๆกับร่างเล็กซึ่งเคยยืนอยู่
ทว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว..
เหมือนกับหัวใจที่ไม่มีอีกแล้ว..
หรือไม่..มันอาจจะไม่ได้มีตั้งแต่แรก
น้ำตาท่วมท้นออกมาจากนัยต์ตาคม
ความเงียบเริ่มถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นเล็กๆ
ร่างโปร่งซบหน้าลงกับเข่าตัวเองราวกับเด็กน้อย
ความเข้มแข็งหดหายเหลือเพียงความอ่อนแอ
แอ๊ด..
ไม่มีใครจำเสียงประตูห้องของตัวเองไม่ได้แต่จื่อเทาก็ไม่ได้มองคนมาใหม่แม้แต่น้อย
มือหนาของใครบางคนวางบนกลุ่มเส้นผมสีดำขลับราวกับกำลังจะปลอบโยน ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านราวกับว่าร่างกายกำลังค่อยๆถูกพยุงด้วยสองมือหนาที่แสนอ่อนโยน..
ใบหน้าคมที่ซบอยู่กับเข่าเงยขึ้นมองคนมาใหม่ ก่อนจะได้รับสายตาเข้มที่แฝงไปด้วยความห่วงใย
ร่างโปร่งของจื่อเทาถูกดันให้นอนราบไปกับเตียงโดยคนตัวสูงกว่า
เปลือกตาบางพยายามข่มตาหลับ
อาการปวดหัวที่ว่าแย่อยู่แล้วกลับว่าแย่เข้าไปใหญ่เมื่อเจอเรื่องบาดใจ มือเรียวคว้าแขนแกร่งของคนที่กำลังจะผุดลุกขึ้นจากเตียง
“ผมไม่อยากอยู่คนเดียว..” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยโทนเสียงติดอ้อน คนฟังยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “พี่แค่จะไปทำอะไรให้เรากิน เราจะได้กินยา”
ได้ยินเช่นกัน ก็ต้องปล่อยจากแขนแกร่ง
คนตัวสูงบางยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิดและปิดในเวลาต่อมา
เปลือกตาหลับแน่นก่อนที่ภาพของแบคฮยอนที่เอ่ยคำนั้นจะย้อนเข้ามาทำร้ายจิตใจของเขาอีกครั้ง
‘เราห่างกันสักพักเถอะ…’
เรายังห่างกันไม่พอหรอ..หมาน้อย..?
คิดแล้วน้ำตาก็พานจะไหลแต่ก็สั่งให้ใจเลิกฟุ้งซ่านไม่ได้
เวลาผ่านไปสักพักใหญ่ๆ..
ที่ห้องครัวซึ่งคลุ้งไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆของโจ๊กร้อนๆซึ่งกำลังถูกกวนอยู่ในหม้อขนาดเล็กเหมาะสำหรับทานคนเดียว
จนกระทั่งหญิงสาวที่เริ่มเข้าวัยชราเดินเข้ามา
“คุณหนูใหญ่คะ.. เดี๋ยวดิชั้นไปซื้อของทำข้าวเย็นวันนี้ก่อนนะคะ”
“ครับ เดี๋ยวเทาผมดูแลเอง”
“คุณหนูคงดีใจนะคะที่คุณหนูใหญ่อุตส่าห์กลับมาดูแล”
“ป้าครับ..
ผมบอกให้ป้าเรียกผมว่าอะไร ผมไม่ใช่ผู้หญิงที่ต้องเรียกคุณหนูนะครับ” เสียงทุ้มหัวเราะ
“อุ๊ย..
ป้าลืมตัว.. ขอโทษค่ะคุณหนะ.. เอ่อ..คุณคริส”
โทรศัพท์มือถือกำลังแหลกละเอียดคามือของเขา
(“อึ..ก..อ้ะ..เทา”)
(“แบค..
เรารักแบคนะ”)
ปลายสายที่น่าจะเป็นเสียงหวานๆของคนที่เขารักเอ่ยกล่าวทักทาย
กลับกลายเป็นเสียงแห่บพร่านุ่มน่าฟัง
เสียงเรียกชื่อที่เอ่ยออกมาทำให้ชานยอลขมวดคิ้วแน่น
(“อะ..ฮึก”)
(“แบคเป็นของเรา.. แบครักเราใช่มั้ย”)
เขากำโทรศัพท์ที่กำลังแนบหูจแน่ขึ้นจนข้อขึ้น
( “จื่อเทา..อ้ะ
หยุด”)
(“เรารักแบคฮยอน”)
(“…ฮึก”)
มันค่อยๆแน่นขึ้น
(“แบค
สัญญากับเราได้มั้ยว่ารักกันตลอดไป”)
(“อะ..อ้ะ”)
แน่นขึ้นเรื่อยๆตามแรงโทสะ นัยต์กลมวาวโรจน์
มันนิ่งแต่กลับแฝงไปด้วยความแข็งกร้าวจนน่ากลัว
(“จะไม่ทิ้งกันไปไหน..ใช่มั้ย”)
(“ไม่!.. กึง”)
“!!”
ชานยอลมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เมื่อจู่ๆสายก็ตัดไป
คาดว่าโทรศัพท์คงจะไปกระแทกอะไรบางอย่างเขาจนเครื่องรวน
มือแกร่งเลื่อนโทรศัพท์จากใบหูลงมาอยู่ในระดับไหล่
ความโมโหพุ่งสูงเรื่อยๆพร้อมๆกับความเจ็บปวดหลังจากได้ยินเสียงนั้น
กายแกร่งทรุดลงบนโซฟาดด้วยความไร้เรี่ยวแรง
ตากลมเข้มเสมองไปยังเตียงผู้ป่วยที่มีคยองซูนอนหลับอยู่และไม่มีท่าทีจะตื่น
แม้จะมีละเมอร้องไห้บ้าง ละเมอพร่ำเรียกชื่อใครบางคนที่เขาเองก็รู้จัก
มือใหญ่ประสานกันและวางศอกไว้บนต้นขา
ชานยอลเลือกที่จะโทรไปหาแทนที่จะตอบกลับด้วยข้อความแต่ไม่คิดว่าเขาจะเลือกทางผิด
ใช่ว่าเขาได้ยินแบบนั้นแล้วจะนิ่งเฉย ร่างหนาอาจจะเป็นคนเย็นชาแต่ไม่ได้ไร้หัวใจ
และในตอนนี้หัวใจของเขากำลังเจ็บ
แบคฮยอนกำลังเจ็บ
และเขาเองก็เสียใจ.. เมื่อเห็นตัวเองอีกคนเจ็บ
หากถามว่าทำไมเขาถึงไม่โมโห
ไม่โกรธแบคฮยอน
ทั้งๆที่ชานยอลกำลังพยายามปกป้องแบคฮยอนขณะที่อีกฝ่ายกลับร้องครางใต้ร่างของใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา
ยอมรับว่าร่างสูงเข็ดขยาดกับเหตุการณ์ครั้งนั้น
ครั้งที่เขาขืนใจคนที่ตัวเองรักเพราะเห็นอีกฝ่ายจูบกับคนอื่น ซึ่งถึงแม้แบคฮยอนจะเป็นคนผิด
แต่นั่นมันไม่สมเหตุสมผลกับความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาฉายทางแววตาของคนตัวเล็กเลยสักนิด
ชั่วแวบที่เขาได้ยินเสียงหวานครางกระเส่า
สติของเขาเกือบขาดสะบั้นจนอยากจะอาละวาดโรงพยาบาลให้พัง แต่เขาเอง..ก็มีสติและมีเหตุผลพอที่จะระงับอารมณ์ของตัวเองซึ่งอาจจะระเบิดเมื่อไรก็ได้
ตอนน้ำเสียงหวานนั้นครางออกมา
โสตประสาทการฟังของเขาจับน้ำเสียงนั้นได้ว่ามันสั่นเล็กน้อย มันไม่ใช่สั่นกระเส่าแต่มันกลับสั่นเครือ
เสียงนั้นมันสะอื้นฮักในลำคอก้อนใหญ่
และเสียงตะโกนสุดท้ายหยุดไปพร้อมกับปลายสายที่ถูกตัด
ความแข็งกร้าวเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วงและกังวลทั้งๆที่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย
ชานยอลมั่นใจว่าคนที่กดรับสายไม่มีทางเป็นคนตัวเล็กเด็ดขาด
และเขาก็ตัดสินใจไปแล้ว…
เขาเชื่อใจแบคฮยอน
“กลับไปพักที่บ้านบ้างก็ได้นะ
ชานยอล”
เสียงนุ่มลื่นหูดังพร้อมกับหญิงสาวชุดพยาบาลขาวสะอาด
แทยอนเข็นรถที่มีอุปกรณ์แพทย์วางอยู่บนนั้น ชานยอลยิ้มบางๆแทนคำพูด
แทยอนกับเขาสนิทกันขึ้น อาจจะเป็นเพราะไลฟ์สไตล์คล้ายๆกันรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ
แต่เธอคงเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขาคุยด้วยแล้วถูกคอ
พวกเขาลดสรรพนามห่างเหินลงเพราะเห็นกับความสนิทที่เพิ่มขึ้น
ความเงียบที่เกิดขึ้นหลายนาทีจนเกือบจะชั่วโมง
แทยอนอดแปลกใจไม่ได้ ชานยอลไม่ใช่คนพูดมากแต่เธอไม่เคยเห็นสีหน้าร้อนรนแบบนี้ของชานยอล
แต่หญิงสาวก็ไม่คิดที่จะเอ่ยคำพูดอะไรรบกวนความคิดของอีกคน
มือแกร่งยกขึ้นจับไหล่ขวาตัวเอง
ปานรูปนกไฟที่มันเกิดมาพร้อมกับเขา ทำให้เขานึกถึงปานรูปพระอาทิตย์ที่อยู่ตรงบริเวณไหปลาร้าของใครคนหนึ่ง..
“เดี๋ยวผมมานะครับ
ฝากดูเขาด้วย”
คว้าเสื้อคลุมไว้ก่อนจะรีบเดินออกไปโดยไม่รอฟังคำพูดอีกคนแม้แต่นิด
ร่างสูงโบกแท็กซี่ก่อนจะก้าวเข้าไปในรถ
เสียงทุ้มบอกถึงสถานที่ที่ต้องการไปกับโชเฟอร์ซึ่งคือบ้านของเทา
เขาเคยไปรับแบคฮยอนที่นั่งสองสามครั้งเลยรู้ว่ามันอยู่แถวไหน
และใจของเขากำลังร้อนรน..
ภาพด้านนอกเคลื่อนไหว ยามรถวิ่งด้วยความเร็วปานกลางคงที่ นัยต์ตาเข้มมองภาพนอกกระจกด้วยสายตาว่างเปล่าระคนกังวล เขาเท้าศอกไว้กับพนักประตูแล้วใช้ฝ่ามือเป็นที่รองปลายคาง
ภาพด้านนอกเคลื่อนไหว ยามรถวิ่งด้วยความเร็วปานกลางคงที่ นัยต์ตาเข้มมองภาพนอกกระจกด้วยสายตาว่างเปล่าระคนกังวล เขาเท้าศอกไว้กับพนักประตูแล้วใช้ฝ่ามือเป็นที่รองปลายคาง
ดวงตากลมสวยผงะเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนหน้านั้นที่ร่างสูงจะโทรหาแบคฮยอน
เขาได้ข้อความเข้ามาหนึ่งข้อความ มือแกร่งหยิบเครื่องมือสื่อสารจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
ก่อนจะถือมันค้างไว้กลางอากาศระดับอก
ถ้าจำไม่ผิด.. เหมือนเขาจะเห็นลางๆว่าคนส่งคือคริส
ทั้งๆที่ก็เพิ่งเจอกันไม่กี่ชั่วโมง
เมื่อนึกถึงคนตัวสูงกว่า
ชานยอลไม่รู้ว่าคริสกำลังคิดอะไร
ไม่เข้าใจแม้แต่เหตุผลที่อีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะเกลียดแบคฮยอน คนเกลียดกัน..เขาจะมายุ่งวุ่นวายกันขนาดนี้เชียวหรือ
?
ตอนแรกก็ดูเหมือนจะกึ่งๆอคติ แต่พักหลังๆ
สายตาความอคติก็เปลี่ยนไป..
และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องเก็บมาคิดในตอนนี้
ใบหน้าเข้มก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบ
คิ้วเข้มขมวดหลวมๆ
‘มีเรื่อยจะคุย’
มาเพียงประโยคสั้นๆให้สงสัยเล่นๆ ชานยอลทำเพียงไม่สนใจ
เขาก้มลงเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงเช่นเดิม
จังหวะเดียวกันที่ใบหน้าคมก้มต่ำลง
ร่างเล็กของใครบางคนก็วิ่งกระหืดกระหอบสวนทางกับรถ
ราวกับภาพสโลว์โมชั่นในละครน้ำเน่าที่พระ-นางเอกต่างสวนกันโดยไม่มีใครเห็น
ช่วงเวลาสั้นๆที่พวกเขาสองคนอยู่ใกล้กันแต่ไม่อาจหยั่งรู้ได้เลย
ขาแกร่งก้าวลงจากรถหลังจากเขาจ่ายเงินกับโชเฟอร์ไปตามราคาของมัน
สายตาคมมองบ้านหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์
ร่างสูงมีอาการลังเลก่อนจะตัดสินใจกดปลายนิ้วลงบนปุ่มข้างๆรั้วประตู
ได้ยินรึเปล่านะ..
เสียงทุ้มเอ่ยนิ่งในใจ
เมื่อยังเห็นว่าไม่มีคนมาเปิดประตู เขาอดใจยืนรออยู่ตรงนั้นแม้ในใจจะเดือดพล่าน..
เพราะความเป็นห่วงหลังจากที่ได้ยินเสียงนั้น
เขาไม่แน่ใจและไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จนกระทั่งตัดสินใจมาที่นี่ มาให้เห็รว่าร่างเล็กยังปลอดภัยและสบายดี..
“เชิญค่ะ”
มือหนาชะงักกลางอากาศเพราะหมายจะกดกริ่งอีกรอบ เสียงเปิดประตูรั้วบ้านดังครืดพร้อมๆกับเสียงนุ่มของหญิงสาววัยกลางคนในชุดธรรมดาๆ
ชานยอลทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยกับความปลอดภัยที่ต่ำเหลือเกินของบ้านหลังนี้
ปกติจะต้องมีคนใดคนหนึ่งในบ้านออกมาซักไซ้ถามว่ามาหาใคร..หรือไม่..มีธุระอะไร ก่อนที่จะเปิดประตูให้คนแปลกหน้าเข้ามา
“ผมมาหาแบค..อ่า
จื่อเทาครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่มั้ย” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
จะให้บอกว่ามาตามคนก็คงไม่ใช่เรื่อง “อยู่ค่ะ
เดี๋ยวดิฉันไปเรียนคุณหนูให้นะคะ”
คุณหนู..?
อ่า..จะว่าขำดึรึเปล่าที่จู่ๆคนที่ไม่ชอบขี้หน้าหรือคนที่หน้าตาเท่ๆและเป็นคนดังในโรงเรียนที่ดีกรีถึงยอดกังฟูกลับมีสรรพนามแบบนี้ในบ้านให้เรียก
เพราะคำว่า ‘คุณหนู’ มันมักจะใช้สำหรับผู้หญิง
หรือ เด็กที่ต่ำกว่าอายุสิบห้ามากกว่าที่จะเป็นเด็กผู้ชายมัธยม
ริมฝีปากหนาลอบยิ้มน้อยๆพร้อมกับเสียงหึในลำคอ
“คุณป้าครับ.. คือผมมีเรื่องจะถะ..”
“เดี๋ยวเชิญนั่งรอก่อนนะคะ” ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้งแทรกเขารึเปล่าแต่ร่างสูงก็ทำตามแต่โดยดี
สะโพกหนาทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่ม
แบคฮยอน..จะอยู่ที่นี่รึเปล่านะ..
“อ้าว คุณหนูใหญ่ ลงมาพอดีเลยค่ะ
คนๆนี้เขาอยากจะขอพบคุณหนูเล็กน่ะค่ะ”
คนเย็นชากระตุกยิ้ม
มันน่าขำเหลือเกินกับการต้องมาได้ยินอะไรแบบนี้เรียกผู้ชายด้วยกันอีกครั้ง
ถ้าหากรูปร่างลักษณะเข้าข่ายแบคฮยอนหรือคยองซู ก็คงว่าไปอย่าง
“ป้าครับ..
ผมบอกว่ายังไง”
เสียงเข้มเอ็ดคนแก่กว่าเกือบสามสิบกว่าปีอย่างทีเล่นทีจริง
ชานยอลชะงักพลางขมวดคิ้วเข้ม
เสียงคุ้นๆ..
“ขอโทษค่ะ..
คือมีคนมาขอพบคุณหนูเล็กน่ะค่ะ”
สิ้นประโยคนั้น คนที่ทิ้งตัวลงนั่งก็เงยหน้าขึ้นมา
ฉุดคนที่กำลังเดินลงบันไดมาชะงักไปชั่วครู่ขณะที่ชานยอลขมวดคิ้วเข้มกว่าเดิม
“พี่คริส?”
เรียกชื่อคนที่อยู่ตรงหน้าเพราะคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาดไป
ใบหน้าเรียบนิ่งฉายแววความสงสัยก่อนจะยันตัวลุกขึ้น
“พี่มาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“ฉัน..”
“ถามแปลกนะพ่อหนุ่ม
คุณคริสเขาเป็นลูกชายของเจ้าของบ้านหลังนี้ไงคะ
แล้วยังเป็นพี่ชายแท้ๆของคุณหนูเล็กด้วย”
“ครับ?” หันหน้าไปหาคนที่ตอบแทนชายหนุ่ม
ความสงสัยปราดเข้ามาในหัวเป็นระลอก
สถานการณ์เริ่มตึงเครียดโดยที่หญิงสาวยังคงหัวเราะน้อยๆตามประสาคนมีอายุโดยไม่รู้อะไร
“สงสัยใช่มั้ยคะว่าทำไมถึงคนละนามสกุลกัน
มันเป็นฮวงจุ้ยค่ะ
หมอดูบอกว่าถ้าคนโตใช้นามสกุลพ่อและคนเล็กใช้นามสกุลแม่ ชีวิตจะมีแต่เฮงค่ะ
โอ๊ย ดิฉันล่ะ..ปลื้มเหลือเกิน”
“ป้าครับ..”
“แต่ดิฉันเสียดายเหลือเกินที่จู่ๆคุณคริสก็ย้ายออกไปอยู่คอนโด
จนคุณหนูงอแงลั่นบ้านเลยค่ะ แต่เหมือนตอนนี้จะค่อยยังชั่วแล้วนะคะ
เพราะได้คุณแบคฮยอนเป็นคู่ใจ”
“ป้าครับ”
“อุ๊ย..ขอโทษค่ะ
มันเพลิน ขอตัวก่อนนะคะ”
ว่าแล้วก็รีบหายวับเข้าไปทางด้านห้องครัว
ชานยอลหัวใจกระตุกเมื่อได้ยินชื่อของคนตัวเล็กที่เขากำลังเป็นห่วง
เบื้องหลังถูกเล่าออกมาหมดเปลือก
ชานยอลหลุบตามองพื้นก่อนจะเสขึ้นมองสบกับอีกคนที่มองอยู่ก่อนแล้ว
“ไม่คิดว่า..”
“ไม่คิดว่าฉันกับเทาจะเป็นพี่น้องกันงั้นสิ”
เสียงเข้มเอ่ยขัดคนตรงหน้าที่ดูจะแปลกใจไม่น้อย
“ทำไมถึงไม่บอกใครเลย”
“ก็ไม่มีใครถามถึงนี่”
ชานยอลไม่ตอบอะไร คริสก็ยังคงเป็นคริสอยู่วันยังค่ำ
ประโยคเรียบนิ่งที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่กลับกวนประสาทใครได้หลายคน ร่างสูงกว่ายกมือขึ้นกอดอกพลางเสตาขึ้นมองประตูซึ่งมีน้องชายที่เขาหวงแหน
เหตุผลมันคงน่าฟังเข้าหูแล้วใช่มั้ยว่าทำไม..เขาถึงทำแบบนี้
“ทีนี้ชัดเจนรึยังว่าทำไมฉันอยากจะย่ำยีความรักของพวกนาย”
“…”
“ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักเจ็บปวดหรอกจริงมั้ย”
“…”
“ไม่มีอะไรซวยไปว่าแอบคิดไม่ซื่อกับแฟนของน้องชาย
แถมยังไปเห็นภาพไม่เข้าท่าของพวกนายสองคน”
คนฟังยืนนิ่งๆทั้งๆที่ในใจแข็งทื่อไปแล้ว
คริสมองใบหน้าคมซ่อนหวานด้วยแววตาไหววูบ ขาเรียวหันหลังหมายจะก้าวขึ้นบันไดเพื่อตัดบทสนทนาและกำลังบอกว่าในเวลานี้เขาไม่อยากจะคุยอะไรด้วย
โดยไม่ลืมเอี้ยวใบหน้าบอกถึงต้นเหตุที่พาชานยอลมาที่นี่
ซึ่งคริสพอจะดูออก
“แล้วรีบไปตามหาซะ ก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้น
แบคฮยอนออกไปก่อนที่นายจะมาสิบห้านาที”
ไวเท่าความคิดที่ขาทั้งสองไม่ได้อยู่จุดยืนเดิมอีกแล้ว
คริสมองร่างของชานยอลที่วิ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว นัยต์ตาคมของเขาหม่นแสงเหมือนเปลวไฟต้องลมจนเกือบดับ
เพื่อนหน้าหวานที่นิสัยไม่ค่อยจะแปรผันตามหน้าตาได้โทรมาบอกว่าใกล้ถึงบ้านเขาแล้ว
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่แบคฮยอนวิ่งหุนหันออกไป
เด็กนั่นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตัวเองวิ่งชนไหล่จนเกือบเซสักนิด
และเขาได้แค่กล่าวคำในใจภายใต้ใบหน้านิ่งๆราวกับเทพบุตร
หวังว่าจะไม่เจอกันนะ..
กับลู่ฮานน่ะ..
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจไอ้บ้านี่
แต่ในเรื่องแบคฮยอนแล้ว สำหรับเขา..ลู่ฮานไว้ใจไม่ได้ในเชิงชู้สาว
คริสส่ายหน้าช้าๆ สลัดความคิดพวกนั้นออกไปก่อนจะเดินบันไดและเข้าห้องของตัวเองที่มีหน้าจอโน๊ตบุ๊คเปิดทิ้งไว้
บนจอที่สว่างวาบกำลังเต็มไปด้วยข้อมูลและภาพมากมาย
รวมทั้งไฟล์เสียงในแผ่นซีดีที่เขาได้ในวันนี้
พูดถึงแผ่นซีดี.. ลืมไปเลยว่าเขาต้องบอกเรื่องนี้กับชานยอล
แต่คริสลังเลว่าจะบอกอีกฝ่ายดีรึเปล่า
เขาไม่แน่ใจถึงเรื่องทั้งหมดที่อาชญากรรมสองคนนั้นบอกมา
มันจะเป็นข้อเท็จจริงได้สักแค่ไหนกัน
เท้าศอกลงกับโต๊ะ
มือแกร่งทั้งสองข้างประสานกันไว้ระดับริมฝีปาก พลางจ้องไปยังหน้าจออย่างใช้ความิด
ความจริงกำลังบอกพวกเขาว่าคยองซูเป็นคนสั่งให้คนพวกนี้ไปข่มขื่นผู้หญิงทั้งห้าคน
ทั้งแบคฮยอนและตัวเองงั้นหรอ.. มันดูเหมือนเป็นไปได้สูง
ใครๆก็รู้ว่าคยองซูดูรักและหลงชานยอลมาก
ถ้าไม่มีอาการผิดปกติทางจิตคงไม่มีทางทำได้หรอก
และคงจะตบตาเก่งเกินไปที่ให้ตัวเองดูเป็นผู้ร่วมเสียหายด้วย
ใช่..แผนมันคงจะเพอร์เฟคต์
แต่กับคนที่รอบคอบขนาดนี้กลับมองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้ อย่างเช่น.. ชื่อเมลล์
ใครที่ไหนจะตั้งชื่อเมลเป็นชื่อตัวเองกับการที่ว่าจ้างแบบนี้
มันดูเจาะจงจนบิดเบือน
แถมผู้ร้ายสองคนนั้นก็ดูพูดแข็งๆเหมือนท่องบท
มันดูง่ายเกินไป
ราวกับว่า..มีใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง
แบคฮยอนแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหว ร่างเล็กรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่แอ้งแม้งอยู่บนพื้นก่อนจะรีบวิ่งโดยไม่ลืมคว้ากระเป๋านักเรียนออกมาด้วย
ใบหน้าจิ้มลิ้มก้มหน้ามองพื้น เขาพยายามหลบเลี่ยงที่จะสบสายตาคนในบ้านเพื่อไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของเขา
ขาเรียวหยุดชะงัก
เมื่อเหลือบไปเห็นร่างหญิงชราที่กำลังทำกับข้าวอยู่ในครัว
ก่อนที่จะตัดสินใจก้มหน้าแล้ววิ่งต่อ
ปึก!
แรงชนไหล่ที่ไม่แรงมากแต่ก็ทำต่างฝ่ายต่างเซไปด้านหลัง
“ขอ..ขอโทษครับ”
กล่าวเพียงแค่นั้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
ก่อนจะวิ่งออกนอกประตูรั้วบ้านไป ความรู้สึกผิดเอ่อล้นกับคำพูดของเทาที่เขาไม่อาจย้อนกลับไปใหม่
ซึ่ง..หากแบคฮยอนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตัวเองชนไปสักนิด
หากแบคฮยอนจะเอะใจถึงกลิ่นโคโลญจ์ที่เป็นเอกลักษณ์แม้เพียงนิด
ก็คงจะได้รู้ถึงเหตุผลที่ตัวเขาเองไม่เคยเข้าใจมาตลอด...
ใครบางคนที่พูดว่าเกลียด แต่ก็ยังปกป้องเขาตลอดเวลา..
นั่นคือความจริงที่คนตัวเล็กอาจไม่มีวันรู้
ขาเรียววิ่งออกมาจากซอยโดยไม่สังเกตถึงรถแท็กซี่ที่ขับผ่านสวนทางกับตัวเอง
ท้องฟ้าเริ่มถูกปกคลุมด้วยความมืด
เหลือเพียงแค่แสงสลัวๆตามถนน
ในละแวกนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านเพราะส่วนมากคนที่อาศัยอยู่แถวนี้มักจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือมหาเศรษฐี
แบคฮยอนยังไม่หยุดวิ่งพอๆกับน้ำตาที่อุตส่าห์กลั้นไว้แต่ก็ไร้ผล
ร่างเล็กวิ่งเลี้ยวเข้าซอยด้านซ้ายเป็นจังหวะเดียวกับที่แสงไฟรถสาดเข้าตา
“เห้ย!”
เอี๊ยด!
ตุบ
สะโพกมนกระแทกลงกับพื้นพร้อมๆกับรถคันหรูเบรกได้ทันจนดังเอี๊ยดเต็มหู
หน้ารถเฉียดหน้าขาเล็กไปแค่ไม่กี่เซน ใบหน้าสวยซีดเผือก
ก้อนสะอื้นฮักหยุดในลำคอเมื่อเจอวินาทีเฉียดตายที่อยู่ตรงหน้า
“อยากตายนักรึไงวะ!”
แบคฮยอนเงยหน้ามองคนเกรี้ยวกราดที่เปิดประตูลงจากรถเผยร่างโปร่งในชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนแบบเดียวกับเขา
นัยต์ตาเรียวเบิกกว้างกับหน้าตาที่คุ้นเคย
หากเปรียบกับคนอันตรายอย่างคริสที่เขาไม่อยากเจอเป็นที่หนึ่ง
และลำดับที่สองที่ดูเป็นคนหลอกลวงและดูไม่น่าไว้ใจที่สุด
กำลังอยู่ตรงหน้าเขา
“พี่ลู่ฮาน”
หลังจากเอ่ยชื่อของคนตรงหน้า
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ แบคฮยอนก็ยันตัวลุกขึ้น
มือบางปัดป่ายเนื้อผ้าบริเวณสะโพกและหน้าขา
ก่อนจะหลบสายตาหวานนิ่งนั้นโดยการเดินเลี่ยงไปอีกทาง
ใช่.. มันคงจะดี
ถ้าไม่ถูกอีกคนคว้าหมับเข้าที่ข้อศอกได้ก่อน
“จะไปไหน” คำตอบที่ได้คือการถูกสะบัดและแววตาที่ช้อนขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “อย่ายุ่งกับผม”
ลู่ฮานขมวดคิ้วเมื่อสังเกตได้ถึงอะไรบางอย่าง
เร็วเท่าความคิดเมื่อเรียวคว้าจับใบหน้าแบคฮยอนเข้ามาใกล้
คนถูกกระทำทำสีหน้าไม่ถูกทันทีเมื่อเจอการกระทำอุกอาจ
ปากอิ่มเม้มแน่นเมื่อตากลมโตของอีกคนจ้องมองสำรวจใบหน้าของเขา
“ร้องไห้ทำไม”
“ไม่..ไม่เกี่ยวกับพี่นี่” ดันอีกคนให้ห่างออกไป
แต่ก็ต้องหันมามองด้วยแววตาหงุดหงิดเช่นเดิมเมื่อถูกรั้งเข้าที่แขน
“ทำไมจะไม่เกี่ยว
ก็ในเมื่อ…เมื่อ…..โธ่เว้ย!” อดกระชากมือจากแขนอีกคนไม่ได้พลางเตะฝุ่นบนถนนคอนกรีตอย่างแรงเพื่อระบายอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ในใจ
มันน่าโมโหมั้ย
เจอคำพูดของคนที่ตัวเองกำลังพยายามช่วยค้นหาความจริงกำลังปฏิเสธน้ำใจของเขา ส่วนความจริงที่ว่า.เพื่อนหัวทองแม่งก็บอกอย่าเพิ่งบอกใครโดยเฉพาะกับแบคฮยอน
การอมพะนำก็ไม่ใช่นิสัยของเขาแต่ถ้าบอก คนตัวเล็กแม่งก็ชอบวู่วามไปนู่นไปนี่
ไม่ห่วงตัวเองสักเท่าไร
“ไม่มีอะไรแล้ว
ผมขอตัว”
“เดี๋ยว” เอ่ยปากรั้งพลางทำหน้าครุ่นคิด “จะไปส่ง”
ยอมรับว่าเป็นห่วงอีกคนไม่น้อยแต่ลู่ฮานก็ไม่ใช่คนใจร้ายใจดำ
แม้จะเห็นความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นเรื่องสนุกแต่ใช่ว่าเขาจะปล่อยให้คนที่ตัวเองสนใจซึ่งอาจจะมีอันตรายเมื่อไรก็ได้กลับบ้านคนเดียวก็คงไม่ใช่เรื่อง
“ผมกลับเองได้”
“เดี๋ยวไปส่ง”
ร่างเล็ดแอบวูบไปกับสายตากลมโตที่ทอดมองลงมาแต่ก็ตัดสินใจเลี่ยงสายตา
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ผมคิดว่าไม่ดีกว่า”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กได้มั้ยแบคฮยอน!”
“แล้วคิดว่าผู้ใหญ่อย่างพี่ดีรึไง! มีความสุขนักไม่ใช่หรอ!? เห็นความเจ็บปวดของคนอื่นเป็นเรื่องสนุก!” โอเค เขาผิดเองที่เผลอกดน้ำหนักเสียงหนักเกินไปจนกลายเป็นเสียงดุไปแบบนั้น
แบคฮยอนในตอนนี้คงไม่ฟังอะไรหรือยอมโอนอ่อนง่ายๆแน่
“เอาล่ะ
พี่ว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ พี่แค่จะไปส่ง ไม่ได้ทำอะไร เพราะงั้นขึ้นรถ
โอเค๊?”
“ผมไม่ไป” ได้ยินเสียงปฏิเสธ ลู่ฮานก็ถอนหายใจ “เชื่อฟังผู้ใหญ่หน่อยได้มั้ย
ห้ะ”
“ผู้ใหญ่อย่างพี่ผมไม่ไว้ใจ”
“และกับการที่เด็กแบบเราต้องกลับบ้านคนเดียวค่ำๆแบบนี้
ดูน่าไว้ใจไง?”
สีหน้าคนตัวเล็กเจื่อนลงไปเล็กน้อย
“ผ..ผมก็ไม่ได้ขอให้พี่ไปส่งสักหน่อย”
“เห๊ย ฟังภาษาคนรู้เรื่องป่ะวะ
โตๆกันแล้วนะเว่ย!” แบคฮยอนสะดุ้งพลางขยับถอยห่างเมื่อเห็นร่างโปร่งเริ่มมีน้ำโห
“ถ้าโตขึ้นแล้ว
เป็นผู้ใหญ่แบบนี้ ผมไม่อยากโตหรอก ..อ้ะ!”
ร่างเล็กเบ้หน้าเมื่อถูกอีกคนตรงเข้ามาจับไหล่แน่น
“แล้วผู้ใหญ่แบบฉัน
มันเป็นยังไงล่ะ หือม์”
“ปล่อย!”
“อย่างน้อย.. นายก็เคยจูบปากผู้ใหญ่คนนี้มาแล้วนี่!”
เพียะ!
ลู่ฮานเซไปด้านหลัง
มือเรียวยกขึ้นแก้มที่แดงเป็นรอยฝ่ามือ
เกิดความเงียบชั่วขณะหลังจากที่มือสวยๆนั้นฟาดเข้ามาที่ใบหน้าเขา
“ไม่มีใครสอนพี่รึไง
เรื่องการพูดการจาน่ะห้ะ! สงสารพ่อแม่พี่เนอะ มีลูกแบบนี้…อื้อ!”
มือใหญ่กว่าบีบไหล่เล็กแน่นราวกับจะทำให้มันแหลกละเอียด
มือเล็กทึ้งเสื้อผ้าของอีกฝ่ายอย่างแรง
ปลายเล็บจิกเข้าไปที่แผ่นหลังเพราะอย่างน้อยก็คิดว่าตัวเองควรเอาคืนอีกฝ่ายบ้าง
รสจูบที่ไม่เหลือเค้าในวันนั้นที่ทำให้ร่างเล็กเคลิ้มแต่กลับความรุนแรงและแข็งกร้าวแฝงอยู่ในนั้น
แบคฮยอนคงไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิด
การพูดถึงพ่อแม่ของลู่ฮานเป็นสิ่งต้องห้าม
นัยต์ตาเรียวใสหรี่ขึ้นมองใบหน้าอีกฝ่ายด้วยแววตาโทสะ
คิ้วบางคลายลงจากการขมวดเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อพบสายตาที่มองอยู่ก่อนแล้ว
แต่สิ่งที่ร่างเล็กแปลกใจไม่ใช่สิ่งนี้
แต่กลับเป็นน้ำใสแวววาวที่ปริ่มดวงตากลมโตจนฉ่ำวาว ความเศร้าโศกและเจ็บปวดแสนสาหัสออกมา
สิ่งที่สูญเสียไปตลอดกาล
ไม่มีใครอยากให้คนอื่นเอ่ยถึงมันหรอก
ความสงสัยถูกกระชากจากสมองเมื่อแขนเล็กถูกดึงอย่างแรงโดยอีกฝ่ายที่ถอนจูบออกไป
“อ้ะ! จะพาผมไปไหน” แบคฮยอนรั้งตัวเองไว้แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือรอยยิ้มที่มุมปาก
“ปล่อยผมนะ! จะพาผมไปไหน ปล่อยนะพี่ลู่ฮาน!”
“ก็จะพานายไปรู้จักในโลกของผู้ใหญ่ไง” ยิ่งเห็นริมฝีปากนั้นกระตุกยิ้มก็ยิ่งรู้สึกใจเสีย
ก่อนจะถูกผลักเข้าไปในรถข้างคนขับ
“อย่า!..แม้แต่จะคิด” แบคฮยอนหยุดชะงัก “ถ้านายหนีฉันเมื่อไร ความลับของนายไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแน่”
มือบางกำแน่น
ลู่ฮานเดาความคิดของเขาออกและนั่นร่างเล็กไม่มีทางเลือก
แบคฮยอนยอมนั่งนิ่งๆแต่โดยดีขณะที่เสียงปิดประตูด้านคนขับดังขึ้น
ภาพด้านหน้าขับเคลื่อนพอๆกับรถคันหรูเคลื่อนที่ไปตามทางของคนที่จับพวงมาลัย
ระยะเวลาที่ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีช่วยให้ใจโทสะของพวกเขาลดลง ทั้งสองต่างรู้สึกตัวและได้สติว่าพวกเขากำลังสาดใส่ความรุนแรงด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
แม้ท่าทางจะอ่อนลงแต่ลู่ฮานก็มีทิฐิ
และส่วนแบคฮยอนเองก็มีไม่น้อยแต่ส่วนใหญ่มักจะเผยให้เห็นแค่กับคนที่ร่างเล็กไม่ชอบหน้าเท่านั้น
ล้อรถค่อยๆชะลอและหยุดลง
ขาเรียวก้าวลงจากรถคันหรู ดวงตากลมหวานมองคนที่ปิดประตูด้วยหน้านิ่งๆ
จากหลายวันที่ไม่ค่อยได้เจอกัน แบคฮยอนดูแปลกไปเล็กน้อย
ร่างบางๆที่มักจะทำหน้าตาร้องไห้ในตอนนี้..กำลังสร้างกำแพงของตัวเอง
กำแพงที่เรียกว่า..ความเข้มแข็ง
ลู่ฮานเดินนำหน้าขณะที่ร่างเล็กกว่าเดินตาม
ภาพเบื้องหน้าของพวกเขาคือบ้านหลังใหญ่ราวกับคฤหาสน์ของเศรษฐี
แบคฮยอนไม่แปลกใจเพราะบ้านหลังนี้ห่างจากบ้านของเทาไปไม่กี่เมตร
ซึ่งอยู่ในละแวกบ้านของพวกคนรวย
แต่ที่เขาแปลกใจคือลู่ฮานพาเขามาที่นี่ทำไม
ภาพงานเลี้ยงปาร์ตี้ปรากฏแก่สายตาของเขา
ผู้คนต่างอยู่ในชุดสวยหรู บางคนก็อาจจะใส่ชุดธรรมดาๆหรือชุดนักเรียนตราโรงเรียนเดียวกันกับเขาและลู่ฮาน
อาหารชั้นดีในหลายประเทศวางเรียงบนโต๊ะที่ถูกปูด้วยผ้าสีขาวบนพื้นหญ้าละเอียด
มันดูเป็นภาพที่ดีสำหรับคนที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาในสังคมคนรวย..อย่างเขา
และร่างเล็กคิดว่าตัวเองคิดผิดอย่างมาก
ขาเรียวหยุดชะงักราวกับถูกของหนักตรึงไว้กับที่
ดวงตาสวยหันมองไปทั่วในตัวบ้านหลังใหญ่ผิดกับด้านนอกที่เป็นเพียงแค่ฉากหน้าแต่ด้านในนั้นกลับแตกต่าง
รอบตัวบ้านห้อมล้อมด้วยหนุ่มสาว ทุกคนดูมีความสุขเมื่อถูกจุดชนวนด้วยสิ่งมึนเมา
บุหรี่ เบียร์ และเหล้าชั้นดี
โชคยังดีที่เขาไม่เห็นสารเสพติดหรืออะไรสักอย่างที่มันมีฤทธิ์หนักกว่านั้น
แบคฮยอนกำลังคิดว่าตัวของเขากำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ
โลกในแบบผู้ใหญ่ที่เขาไม่เคยก้าวเข้ามา
..มันดูแตกต่างจากที่เขาเคยเห็นหรือคิด
หรือเคยเกิดขึ้นกับเขาตอนสมัยเขายังอยู่ม.ต้น
มันดูเหมือนกับปาร์ตี้ในหนังฝรั่ง
ที่ต่างฝ่ายต่างพากันเข้าห้องและพากันดิ่งสู่ความสุขในราคะ
มือของแต่ละคนต่างถือกระป๋องเบียร์
หรืออาจหรูสุดก็เป็นแก้วไวน์ราคาสูงซึ่งบรรจุด้วยของเหลวชั้นดี
กับบางคนที่ถือแก้วใสธรรมดาซึ่งในนั้นคือน้ำสีอำพันที่ทุกคนต่างก็รู้จัก
“สักแก้วมั้ย”
“ผมไม่ชอบมัน” ตอบไปโดยไม่ลังเล ลู่ฮานครุ่นคิดพลางยักไหล่ “ก็แล้วแต่”
คนตัวสูงกว่าดันหลังบางๆให้เดินต่อ
ขณะที่แบคฮยอนหลบสายตาบางคนที่มองมา มันไม่ได้อยู่ในเชิงชู้สาว
สายตาที่ร่างเล็กรู้สึกไม่ชอบใจ
เขารู้สึกราวกับตัวเองเป็นแค่เด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลก
“ผมเปลี่ยนใจแล้ว
ขอเบียร์กระป๋องนึง” เอี้ยวหน้าไปบอกคนข้างๆ
อีกฝ่ายเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้ขัดใจ เพียงไม่ถึงนาทีของที่ว่าก็มาอยู่ในมือเขาเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ยักรู้ว่าดื่มเป็น” ร่างเล็กช้อนตาขึ้นมองคนข้างๆที่ทำหน้าตายียวน
ก่อนจะกระดกสิ่งที่อยู่ในมือขึ้นจรดริมฝีปากและกลืนมันลงคอ
เหมือนได้ย้อนไปในวันเก่าๆ
รสชาติที่เคยลิ้มรสซึ่งลืมไปแล้วถูกจุดชนวนขึ้นมาใหม่ อึกแล้วอึกเล่าถูกกลืนลงคอจนเหลือแค่เกือบก้นกระป๋อง
และทันทีที่ดื่มอึกสุดท้ายก็ต้องแปลกใจ.
ฝากระป๋องมันถูกเปิดออกก่อนอยู่แล้ว..รวมทั้งร่องรอยผงสีขาวที่ติดอยู่ขอบฝา
“หวังว่าพี่คงไม่ได้ใส่ยาอะไรบ้าๆลงไปหรอกนะ”
ก้อนเนื้อในอกเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
แบคฮยอนอยากจะให้พระเจ้าเข้าข้างเขาบ้าง
แต่คำขอนั้นกลับไม่เป็นผล
“คิดว่าไงล่ะ” คำพูดแสนกวนประสาทกับรอยยิ้มมุมปาก
แววตากลมโตฉายแววความสนุก ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยอีกประโยค
“อีกสิบนาที ยาจะออกฤทธิ์”
!!
หัวใจเต้นกระตุกราวกับร่างกายถูกดึงลงไปในเหว มือที่สั่นเทาเผลอปล่อยกระป๋องเบียร์จนมันหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง
พื้นพรมสีแดงเปียกแฉะเพียงเล็กน้อยจากของเหลวที่ออกจากฝากระป๋อง
ไร้ความสนใจจากคนรอบๆตัวเพราะทุกคนต่างหลงระเริงไปกับอบายมุข
ไวเท่าความคิดที่ขาเดินออกจากตรงนั้น
ลู่ฮานทำท่าจะเดินตามเขามาแต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยหญิงสาวที่ไม่รู้จัก
หลายนาทีที่แบคฮยอนเดินเคว้งเหมือนคนไร้หนทาง
ความอ่อนแอเริ่มกัดกินหัวใจพร้อมกับปีศาจที่เริ่มเข้าสิงตัวเขา
ความผิดปกติเริ่มก่อกวนร่างกายเล็กๆ มันกระสับกระส่าย อึดอัดจนรู้สึกอัดอั้น
หยาดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นมาตามใบหน้า
ความร้อนก่อตัวขึ้นมาทีละนิดๆ อาการแบบนี้ทำให้เขารู้ว่าลู่ฮานใส่อะไรลงไปในนั้น..
หนุ่มสาวหลายๆกำลังจูบกันในหลายๆมุม
ร่างเล็กดูตื่นตระหนกและมันเหมือนภาพหลอนที่ต้องเห็นภาพจูบของคนสองคนในหลายๆที่และหลายๆคร
ขาทรุดลงกับพื้นพร้อมกับแผ่นหลังที่สไลด์ไปกับผนังจนสะโพกแตะถึงพื้น
มือเรียวกุมหัวตัวเองแน่น อาการบ้าๆนั้นกำลังเกิดขึ้นกับเขา
สตินั้นพร่าเลือนจนเบลอและมึนไปหมด
“พี่แบคฮยอน?”
เสียงหวานเล็กดังขึ้นตรงหน้า
เจือปนไปด้วยความสงสัยและความไม่แน่ใจ สัมผัสปลายนิ้วแผ่วเบาแตะลงบนไหล่เขา
ใบหน้าสวยเงยขึ้นสบกับนัยต์ตาหวานของหญิงสาวซึ่งกำลังยกมือขึ้นทัดหู
ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ความคิดของเขาดับลงไปชั่วขณะแต่กลับทำให้อุณภูมิขึ้นสูง
ใบหน้าขาวใส ผิวนุ่ม
ดวงตากลมโตสีดำฉ่ำรับกับจมูกเล็ก ริมฝีปากกระจับสีแดงอิ่ม
หญิงสาวร่างเพรียวดูมีน่ามอง ท่าทางมารยาทราวกับถูกสั่งสอนมาอย่างดี
“นาอึน..
ซนนาอึน?”
“อ่า..
พี่แบคฮยอนจริงๆด้วย ค่ะนาอึนเอง มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ? แล้วเหงื่อนี่..?” หญิงสาวสาดคำถามใส่ด้วยความสงสัย
แอบตกใจที่เห็นใครบางคนมานั่งอยู่ตรงนี้
ตอนแรกเธอจะเดินผ่านไปด้วยซ้ำแต่เห็นว่าอีกฝ่ายหน้าคุ้นตาเหลือเกิน
นาอึนเป็นรุ่นน้องผู้หญิงที่เคยอยู่ชมรมเดียวกัน
แม้ไม่ค่อยสนิทแต่ก็มีคุยกันบ้างในเรื่องเรียน เธอเป็นลูกคุณหนูผู้ดี
เท่าที่เขาเคยเห็นผู้หญิงคนนี้มารยาทและนิสัยดีที่สุดแล้วในกลุ่มพวกคุณหนูที่มักจะอวดรวย
“อ่า..คือ..” จะให้บอกว่าโดนยา เลยมีอารมณ์.. ก็คงทรามไปสำหรับหญิงสาว
“พี่แบคฮยอน ไม่สบายรึเปล่าคะ”
“ฉันไม่เป็นไร.. เธอมาที่นี่ได้ยังไง”
“ฉันมากับเพื่อนๆค่ะ
เดี๋ยวจะออกไปแล้ว แต่มาเจอกับพี่ก่อน”
“ระ..หรอ” ในใจร่างเล็กกำลังลุกเป็นไฟจนแทบระเบิดเป็นลา
ยิ่งเห็นใบหน้าใสซื่อกำลังมองก็ยิ่งเหมือนกำลังถูกกระตุ้น
ร้อน..จนจะไม่ไหวแล้ว
“แฮ่ก..”
เสียงหอบดังออกจากเรียวปากสวยที่เผยอ
เปลือกตาบางหลับแน่นเพื่อพยายามสะกดกลั้นปีศาจร้าย.. ร่างกายหนักอึ้งและสติสัมปชัญญะกำลังจะขาด
“เธอไปเถอะ.. ฉันไหว” อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ของยารึเปล่า
ที่ทำให้การพูดของเขาดูเป็นกันเองเกินไปกว่าที่เคย
“แต่ฉันว่า…พี่..”
“ไปสิ!” เสียงเล็กดังขึ้นคล้ายเป็นตะโกนจนทำหญิงสาวสะดุ้ง
สิ่งที่ปรากฏสายตาคือนัยต์ตาเรียวที่ฉ่ำเยิ้ม หยาดเหงื่อผุดตามใบหน้า
ร่างกายของแบคฮยอนสั่นเทาเหมือนคนกำลังอดกลั้นอะไรบางอย่าง
มือเรียวสวยกำแน่นจนข้อขึ้น
ความอดทนของเขา..กำลังจะหมด..
เส้นสติ..ขาดสะบั้นอย่างสิ้นเชิง
ไม่ไหวแล้ว
แบคฮยอนไม่รู้ว่าเขาลากหญิงสาวเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมตั้งแต่เมื่อไร
มันดูคล้ายเป็นห้องครัว
มือเรียวดันร่างเล็กกว่านอนราวไปกับโต๊ะที่ว่างเปล่าท่ามกลางเสียงตกใจเพราะการกระทำอย่างถือวิสาสะ
แม้ภาพภายนอกเขาอาจจะดูอ่อนแอ
อ่อนไหวเหมือนกับเด็กผู้หญิงซึ่งงมงายในรัก
แต่ถึงยังไง..แบคฮยอนก็เป็นผู้ชาย
ยิ่งเหตุการณ์เลวร้ายและเจ็บปวดยิ่งทำให้เขาเข้มแข็งจากเมื่อก่อน
ริมฝีปากประกบกัน
คนตัวเล็กกว่าเบิกตากว้างกับคนไม่มีสติ ชายกระโปรงถูกเลิกขึ้นจนเห็นต้นขาอ่อน
แบคฮยอนไม่สนเสียงกรีดร้องที่เริ่มเบาลง
ไม่แยแสกับมือเล็กที่กำเสื้อเขาแน่นตรงแผ่นหลัง
คนถูกปลุกอารมณ์ทำเพียงแค่หลงระเริ่งกับสิ่งที่กำลังประสานและเล่นเพลงไปในจังหวะเดียวกัน
ทุกอย่างดูลงตัวและเขารู้สึกดีขึ้น
แว่วเสียงเหมือนได้ยินคนที่อยู่ใต้ร่างพึมพำชื่อของใครบางคน
ร่างเล็กกว่ากระตุกตามแรงปรารถนา
โต๊ะสั่นครืดเสียดสีกับพื้นเซรามิค แบคฮยอนกระแทกเข้าไปหนักๆ
ความรู้สึกที่ถูกรัดแน่นด้วยอะไรบางอย่าง มันเป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับเขา
ความรู้สึกดีเอ่อล้นจนแทบระเบิด
สิ่งที่อัดอั้นถูกปลดและกระจายออก แบคฮยอนรู้สึกเหมือนตัวเองผ่อนคลาย
นาอึนทำสีหน้าเหยเกเมื่อของเหลวอุ่นเข้ามาในตัว
แบคฮยอนผละจากหญิงสาวที่นอนหอบหายใจอยู่ตรงหน้า
ร่างเล็กเดินออกมาด้วยใจที่ล่องลอย
ขาเรียวหยุดชะงักเมื่อเงยขึ้นก็เจอลู่ฮานกำลังสูบบุหรี่
แผ่นหลังนั้นพิงกำลังแพงและหันหน้ามาหาเขา
สายตานิ่งแบบนั้นพรายระยับ
ริมฝีปากบางเผยอปล่อยลมควันสีเทากระตุกยิ้ม
“เห็นหงิมแบบนี้…แต่ร้ายใช่ย่อยนี่”
“พี่อยากให้ผมทำแบบนี้อยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ” พูดจบก็เดินเลี่ยงไปอีกทาง
เพราะไม่สบอารมณ์กับต้นเหตุที่ต้องมาทำให้เขาเจออะไรแบบนี้
แค่ไม่อยากลากคนอื่น..เข้ามาเกี่ยวอีกแล้ว
“แต่นายก็สุขจนล้นเลยไม่ใช่รึไง” น้ำเสียงเย้ยหยันจนร่างเล็กต้องระงับอารมณ์ด้วยการกำมือแน่น
“พอเหอะ..
เลิกยุ่งกับผมได้ป่ะ เลิกได้มั้ยที่ต้องเห็นทุกๆอย่างเป็นเรื่องสนุก”
“…”
“ผมไม่สนว่าพี่จะนอนกับใครหรือทะเลาะกับใคร
แต่เลิกยุ่งกับชีวิตของผมสักที”
“…”
“เลิกยุ่งกับชีวิตของเรา..ได้โปรด”
เสียงนั้นฟังแล้วน่าสงสารจับใจ
ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นสีเทา… หยาดน้ำใสกลิ้งลงบนแก้ม หยดแล้วหยดเล่าจนเปื้อนใบหน้า
นัยต์ตากลมที่ฉายแววความสนุกคลายลงและหลุบมองพื้น พร้อมกับริมฝีปากที่หดยิ้ม
ลู่ฮานไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้..เขาแค่อยากให้แบคฮยอนรู้สึกตัว.. ว่าความรักของฝาแฝดมันไม่ได้สวยงามเหมือนในนิยายหรือละครน้ำเน่าที่จะจบอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง
มันไม่มีทางเป็นไปได้
มันคือบทลงโทษของพวกเขาจากพระเจ้า
พรากบุคคลที่รักพวกเขาด้วยใจไปอยู่ในที่แสนไกล
ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง บุพการีทั้งสองที่ดับชีวิตลงเพียงเพราะความรักผิดบาปที่แสนเห็นแก่ตัว
เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเขา..กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
ความรักของฝาแฝดที่รวมคนบาปทั้งหกคนด้วยกัน
ความเจ็บปวดและน้ำตาจากการสูญเสียจะกลายเป็นโศกนาฏกรรม แต่ละคน..ต่างมีจุบจบของตัวเอง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่พวกเขาเดินมาจนถึงรถที่จอดอยู่
ต่างคนต่างเงียบ อยู่ในผวังค์ของตัวเองที่ไม่มีใครอาจจะแทรก
“ไปไหน”
กลับกลายเป็นคนที่นั่งข้างคนขับเอ่ยท่ามกลางความเงียบที่น่าอึดอัดเมื่อเห็นรถคันหรูขับไปในเส้นทางที่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
“โรงพยาบาล”
(คลิกอ่านที่เหลือโลดดดด~)